หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผู้ต้อนรับคนบาป

ลูกา 15:2 " คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา "

ฟาริสีเเละพวกธรรมาจารย์ เป็นผู้ที่ชำนาญเชี่ยวชาญในเรื่องของธรรมบัญญัติของโมเสส พวกคนเหล่านี้จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับคนเก็บภาษี เพราะว่าคนที่เก็บภาษีนั้นเป็นคนยิวเเต่ทำงานเก็บภาษีของคนยิวด้วยกันให้กับชาวโรม คนเก็บภาษีจึงถือเป็นคนนอกรีต เเละคนบาปในสายตาของพวกฟาริสีเเละธรรมมาจารย์ สำหรับคนเหล่านี้พวกเค้าดูที่ตัวเองเเละเปรียบเทียบความชอบธรรมของตัวเองให้อยู่สูงเนื่องผู้อื่น คิดว่าตัวเองรู้ เชี่ยวชาญเเละประพฤติได้มากกว่าคนทั่วไปจึงยกตัวเองขึ้นสูงส่ง คนเหล่านี้จะเเสวงหาการยกย่องจากผู้อื่น เน้นการประพฤติที่ดูเหมือนชอบธรรมเเต่เพียงภายนอก พระเยซูตรัสว่า พวกฟาริสีคือคนที่ชำระถ้วยเเค่ภายนอกเเต่ข้างในเต็มไปด้วยพิษร้าย ภายนอกดูเหมือนชอบธรรมเเต่ภายในเต็มไปด้วยการอธรรม ในสถานการณ์ตอนนี้พวกฟาริสีเเละธรรมมาจารย์พากันบ่น พวกเค้าบ่น ไม่พอใจที่เห็นพระเยซูอยู่ร่วมกันกับคนบาปเเละคนเก็บภาษี พระเยซูอยู่ร่วมกันกับคนบาปในขณะที่พวกเค้าพยายามทำตัวดูสูงส่ง ออกห่างจากคนบาป ไม่กินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกัน ภาพที่เราเห็นในข้อพระคัมภีร์ดูคุ้นตาเหลือเกิน กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศที่เราอยู่ เราจะไปกินข้าวร่วมโต๊ะหรือหญิงสาวจะถูกตัวก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดการผิดกฏ ผิดศีล ยกตัวเองขึ้นสูงเหนือคนอื่นเพราะเพียงเเค่ภายนอกที่ต่างจากเรา พระเยซูตรัสไว้ในมัทธิวบทที่ 23:12 "ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะต้องถูกเหยียดลง ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น " พระเจ้าเเสวงหาผู้ที่ถ่อมใจ เเละสำนึกผิดในความบาปของตน คนเเบบนี้เองที่พระเจ้าบอกว่า ได้รับการให้อภัยบาปและเป็นบุตรของพระองค์

พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ถ่อมพระทัยของพระองค์ลงมาบนโลก เพื่อที่จะเสด็จไปที่กางเขน สิ้นพระชนม์ที่นั้น เพื่อคนบาปอย่างเราจะได้มีหนทางที่จะรอดได้ พระเยซู ผู้ที่ไม่มีบาปเป็นผู้ที่อ้าเเขนต้อนรับเราอย่างเต็มใจ คนบาปสามารถที่จะเข้าใกล้พระองค์ ได้อย่างบริสุทธ์ใจ ในพระองค์ไม่มีการชี้ตัดสินความผิด ไม่มีการกล่าวโทษ เมื่อเราสารภาพผิดเข้ามาหาพระองค์เราจะได้รับการให้อภัยเเละกลับคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง ในข้อที่ 1 ของลูกาบทที่ 15 เราจะเห็นได้ว่ามีทั้งคนบาปและคนเก็บภาษีที่เข้ามาใกล้พระองค์ คนเหล่านี้ถ้าลำดับตามสังคมในสมัยนั้นจัดได้ว่าเป็นพวกนอกรีต เเต่คนแบบนี้นี่เองที่พระเยซูบอกว่าเป็นเหตุผลที่พระองค์ลงมาตายบนไม้กางเขน ขอบคุณพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ประทานมาให้กับคนบาปอย่างเรา โต้ะอาหารเเห่งพระคุณของพระเจ้าจัดเตรียมพร้อมเสมอสำหรับคนบาปที่จะได้กินด้วยกันกับพระองค์ พระเจ้าเรียกเราเข้ามาหาพระองค์ พระองค์เรียกเลวี คนเก็บภาษีว่า " จงตามเรามาเถิด " สิ่งที่เราต้องทำคือการตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้าให้เข้ามาสู่การสามัคคีธรรม เข้ามาหาพระองค์ด้วยใจที่ถ่อมสำนึกในความผิดบาปที่กระทำ เเล้วพระองค์จะทรงให้อภัย เเละจะทรงยกเราขึ้นให้เรานั่งร่วมโต๊ะเดียวกับพระองค์ เหมือนกับบรรดาคนเก็บภาษีเเละคนบาปทำในข้อที่ 1 ของลูกาบทที่ 15 เข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระองค์ เป็นท่าทีภายในจิตใจที่ต้องการการชำระให้บริสุทธ์เเละพ้นจากการกล่าวโทษของความบาป เข้ามาใกล้พระเจ้าเพระรู้ว่ามีเพียงพระองค์ที่สามารถเติมเต็มช่องว่างภายในจิตใจได้ นี่เป็นท่าทีที่สำคัญมากสำหรับเรา เพราะพระเยซูทรงต้อนรับเราเสมอ เราจึงสามารถที่จะเข้าใก้พระองค์ด้วยใจกล้าได้

พระเจ้ารอคอยเราที่จะเข้ามาหาพระองค์เหมือนกับพ่อของบุตรน้อยที่หลงหาย เเน่นอนเรารู้ว่าบุตรทำผิดมากมาย ถ้าตามที่พวกธรรมาจารย์เเละฟาริสีตัดสิน เค้าคงเป็นคนบาปที่ไม่สามารถได้รับการให้อภัย เเต่สำหรับคนที่เป็นพ่อนั้นไม่ได้มองอย่างนั้น พ่อรักลูกมาก ไม่สำคัญหรอกว่าความผิดนั้นจะร้ายสักเพียงใด ผิดกฏกี่ข้อเเต่สิ่งที่พ่อมองหาเเละต้องการคือ ลูกที่จะกลับมาหาพ่ออีกครั้ง ขอเพียงลูกเข้ามาหาพ่อ พ่อจะต้อนรับเเละให้อภัย นี้เป็นท่าทีที่พระเจ้ามีต่อเราที่เป็นคนบาป พระองค์เเสวงหาความรัก ความเมตตาไม่ใช่เครื่องสัตวบูชา นั้นหมายความว่า สิ่งที่พระเจ้ามองไม่ใช่การที่เราต้องมานั่งประพฤติตามกฏเหมือนบรรดาฟาริสีเเต่ที่พระองค์ต้องการคือให้เราดูตัวอย่างของพระเยซูที่มีความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่นต่างหาก พระเจ้ามีพระคุณให้กับเราเสมอในเวลาที่เราต้องการ ให้เราวิ่งเข้าไปใกล้พระองค์ในเวลาที่เราต้องการความรักเเละการให้อภัย พระองค์ยินดีเสมอเเละรอต้อนรับเราตลอดเวลา ประตูของพระเจ้าเปิดกว้างตลอด รอคนบาปที่จะเข้าใกล้พระองค์...

Table of Grace

Hear the good news, you've been invited
No matter what others may say,
Your darkest sins will be forgiven
You will always have a place.
At the table of grace the cup's never empty.
The plate's always full and it's never too late.
To come and be filled with love never ending
You're always welcome at the table of grace.
So come weak, and heavy hearted (heavy hearted)
Don't try to hide your earthly scars.
In His eyes, we all are equal (yes, we are)
Don't be afraid, come as you are.
At the table of grace the cup's never empty.
The plate's always full, and it's never too late.
To come and be filled with love never ending
You're always welcome at the table of grace.
(Instrumental break)
So let the first become the last
Let the poor put kings to shame.
Their willing hearts will be their treasure
By the power of Jesus' name!
At the table of grace the cup's never empty
The plate's always full, and it's never too late!
To come and be filled with love never ending
You're always welcome at the table of grace
At the table of grace the cup's never empty.
The plate's always full, and it's never too late
To come and be filled with love never ending:
You're always welcome at the table.
Everyone's welcome at the table of grace.

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระเจ้าไม่ผันเเปร

มาลาคี 3:6 " เพราะว่าเราคือพระเจ้าไม่มีผันเเปร โอ บุตรยาโคบเอ๋ย เจ้าทั้งหลายจึงไม่ถูกเผาผลาญหมด "

พระเจ้าไม่เปลี่ยนเเปลง กาลเวลาไม่มีผลกระทบต่อพระองค์ ธรรมชาติเปลี่ยนพระองค์ไม่ได้ ความคิดของมนุษย์เปลี่ยนพระลักษณะของพระเจ้าไม่ได้ ไม่มีสักสิ่งเดียวในจักรวาลที่จะมาเปลี่ยนเเปลงความเป็นพระเจ้าได้ พระองค์เป็นผู้ที่พระองค์เป็น พระองค์เป็นเยโฮวาห์ เป็นพระเจ้าที่ดำรงเหนือกาลเวลา พระองค์ผู้ทรงสร้างทุกสรรรพสิ่ง พระเจ้าโดยธรรมชาติของพระองค์นั้นไม่เปลี่ยน นั้นหมายความรวมถึงในขณะที่พระองค์ถือกำเนิดในรางหญ้า พระองค์ก็ยังคงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ขณะที่พระองค์ถูกโบยตี ถูกเยาะเย้ยพระเจ้าก็คงเดิม ตอนที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนอย่างทรมาน พระองค์ก็ยังคงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ผู้ที่มีสวรรค์เป็นบัลลังค์เเละเเผ่นดินโลกเป็นที่วางเท้าอยู่เช่นเดิม ธรรมชาติเเละเเก่นเเท้ของพระองค์ จะไม่ถูกเปลี่ยนเเปลงไปโดยสภาพเเวดล้อมรอบตัวพระองค์ แม้กระทั่งเราคิดไปเองว่าพระเจ้าไม่รัก ไม่ดี ไม่มีจริงเเต่ความคิดอันต่ำต้อยของเราก็เปลี่ยนตัวตนของพระเจ้าไม่ได้ พระลักษณะของพระเจ้า ความรัก ความเมตตา พระคุณ ความชอบธรรม ความบริสุทธ์ ธรรมชาติของพระเจ้าเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนตั้งเเต่เเรกเริ่มจนกระทั่งถึงความเป็นนิรันดร ภูเขาลูกใหญ่ที่สุดในโลกยังมีการเคลื่อนไหว เเม่น้ำก็ขยายตัวขึ้นในทุกๆปี เเผ่นดินที่เราเดินอยู่ ในทุกปีจะมีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก เเม้กระทั่งดวงอาทิตย์ยังมีการเปลี่ยนเเปลง เเล้วมนุษย์ที่เทียบไม่ได้เลยกับธรรมชาติจะมีการเปลี่ยนเเปลงบ้างหรือเปล่า? เเน่นอน มนุษย์เปลี่ยนเเปลงตลอดเวลา ตัวเราเองเมื่อ 10ปีที่เเล้วกับตอนนี้คงต่างไปจากเดิมมากๆ หรือเเม้กระทั่งความคิดเเละจิตใจของเราก็สามารถที่จะเปลี่ยนได้เพียงเเค่มีบางสิ่งมามีผลกระทบกับความรู้สึก ฉะนั้น มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ไม่ผันเเปร

มนุษย์มีแผนงานมากมายเเต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เเผนงานของพวกเค้าจะสำเร็จเเต่พระเจ้าไม่ใช่ พระองค์มีเเผนงาน เเละเเผนงานของพระองค์เมื่อตั้งต้นเเล้วจะต้องสำเร็จ พระองค์จะไม่ล้มเลิกกลางคัน พระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะทรงส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับเรา เพื่อช่วยเราให้พ้นจากความบาป พระเยซูก็ถือกำเนิดในโลกเพื่อตายไถ่บาปให้กับคนบาป พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ ในฮิบรูบทที่ 13:8 "พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ เเละเวลาวันนี้ เเละต่อๆไปเป็นนิจกาล "มีช่วงเวลา 3 ช่วงในข้อพระคัมภีร์นี้ อดีต ปัจจุบันเเละอนาคตจนถึงนิรันดร นั้นคือ พระเยซูไม่มีการเปลี่ยนเเปลงเกิดขึ้นกับพระองค์ หมายความรวมถึง เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์รักเรา ก็หมายถึงก่อนหน้าที่เราจะรู้จักพระองค์ พระเยซูก็รักเรา ตอนนี้ก็รัก เเละจะรักเราตลอดไป!!! โดยธรรมชาติของพระเจ้าที่ไม่มีการผันเเปรเเบบนี้เองทำให้พระองค์เป็นผู้เดียวที่ควรเเก่การไว้วางใจของเรา เพราะพระเจ้านั้นสัตย์ซื่อเสมอ

บุตรของยาโคบหรืออิสราเอลคือใคร? หมายถึงเพียงเเค่เหล่าบรรดาบุตรทั้ง 12 คนเท่านั้นหรือ? ข้อพระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น สำหรับผู้ที่เชื่อเราก็คือผู้ที่ได้รับมรดกตามพระสัญญาที่ไม่เปลี่ยนเเปลงของพระองค์ เราเป็นบุตรของอับราฮัมโดยความเชื่อ เป็นผู้ที่ได้รับมรดกผ่านทางความเชื่อในพระองค์ นั้นคือความรอด รอดจากการตายเป็นนิรันดร ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ ในพระธรรมยากอบบทที่ 1:17 " ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบนเเละส่งลงมาจากพระบิดาเเห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการเเปรปรวน หรือไม่มีเงาเเห่งการเปลี่ยนเเปลง " สิ่งที่ดีที่สุดย่อมมาจากเบื้องบน พระเจ้ารู้จักเราดีที่สุดเเละจะประทานสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเราเสมอ เเละในความเป็นจริง พระองค์ได้ประทานสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเราเเล้ว พระเยซูนั่นเอง!!! ความรอดที่เราได้รับอย่างที่ไม่สมควรจะได้รับเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานให้กับเรา สิ่งที่เราเห็นนั้นไม่มีความมั่นคงทั้งเรื่องกำลังหรือสติปัญญาของตัวเราเอง หรือเราอาจจะรวมไปถึงคนอื่นๆรอบข้างเรา ทั้งหมดนั้น ไม่มีความมั่นคงอยู่ในตัว ถ้ามีปัจจัยอะไรมากระทบนิดหน่อยย่อมเกิดการเปลี่ยนเเปลง เหมือนกับเงาที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนเเปลงตลอดเวลา เเล้วคำถามคือเราสามารถที่จะไว้วางใจในสิ่งที่ไม่มั่นคงได้รึเปล่า? ถ้าเกิดสิ่งที่เราไว้วางใจในวันนี้ พรุ่งนี้ไม่อาจเหมือนเดิมเราจะทำอย่างไร? ฉะนั้น สิ่งเดียวที่ไม่มีวันเปลี่ยน ไม่มีวันทรยศ คู่ควรเเก่การไว้วางใจนั้นมีเพียงผู้เดียว คือพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่ผันเเปร!!!

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เกลือ!!!


มัทธิว 5:13 " ท่านทั้งหลายเป็นเกลือเเห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ เเต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีเเต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ "

พระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาสั่งสอนบนภูเขา เเละมีคนเป็นจำนวนมากที่มาฟังพระองค์ ในข้อที่ 13 นี้พระเยซูทรงบอกว่า ท่านทั้งหลายเป็นเกลือของโลก พระองค์พูดถึงบรรดาสาวกที่ตัดสินใจติดตามพระองค์ว่าเป็นเหมือนดั่งเกลือ เเละในข้อที่ 14-15 ของพระธรรมมัทธิวยังบอกต่อไปอีกว่าท่านนั้นเป็นความสว่างของโลก พระเยซูทรงสอนหลักการดำเนินชีวิตของสาวกให้กับเราฟัง เกลือมีประโยชน์อย่างไร? อย่างเเรก เกลือนั้นมีไว้ช่วยในการถนอมอาหาร ยับยั้งการเน่าเปื่อยของอาหาร เช่นปลาเค็ม ไข่เค็ม พระเยซูเปรียบเทียบสาวกที่คอยยับยั้งการเน่าเปื่อยของโลกนี้ให้เป็นเหมือนกับเกลือ มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่รู้จักพระเจ้า เเละกำลังเดินไปสู่หนทางที่พินาศเเละความตาย พระองค์ต้องการให้สาวกของพระองค์ทำหน้าที่ในการยับยั้งการเน่าและการตายนี้ เพระพระคริสต์นั้นลงมาเพื่อช่วยทุกคนให้รอด เเละใน มัทธิว 28 :19-20 พระมหาบัญชาของพระเจ้าที่บอกให้เรานั้นออกไปประกาศ ทำหน้าที่ดุจดั่งเกลือของโลก

เเละเกลือยังสามารถที่จะใช้ในการรักษาบาดเเผลได้อีกด้วย เราเอาเกลือมาทำเป็นน้ำเกลือในการชำระล้างบาดเเผลสกปรก จินตนาการว่าตัวเองมีเเผลสดที่ต้องทำการรักษา เเน่นอนถ้าเป็นอย่างนี้หมอคงต้องรีบล้างเเผลเราด้วยน้ำเกลือให้สะอาด ก่อนที่จะทำเเผล ฉะนั้นเราต้องการการชำระให้สะอาดด้วยน้ำเกลือในกรณีที่เป็นเเผล อาจจะเเสบ เจ็บปวดเมื่อถูกล้างด้วยน้ำเกลือเเต่มันจะหายเเละไม่มีการติดเชื้อ เราต้องการการรักษา มนุษย์ที่เป็นคนบาปต้องการ การรักษาที่มาจากพระเจ้าความรู้สึกผิดในจิตใจเนื่องจากการกระทำความบาปเป็นเหมือนเเผลสดที่เกิดกับเรา ยิ่งปล่อยไปนานวันเข้า เเผลจะกว้างขึ้นนำความเจ็บปวด ความเศร้ามาให้เรา บาดเเผลที่เกิดจากการลงทุนของโลกจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยพระวจนะของพระเจ้า ครั้งเเรกที่ได้ยินความจริง ความจริงจากพระเจ้าจะทำหน้าที่เหมือนน้ำเกลือในการล้างบาดเเผล มันจะเปิดเผยสิ่งที่ไม่ดีของเรา เเต่พระเจ้าจะรักษาเราให้หาย ซึ่งต่างจากหลักปรัชญาของโลกที่เราได้ยินมาตั้งเเต่เล็กที่บอกว่า ถ้าเราทำบาปหรือทำความผิดอะไร ก็ให้เราซื้อบางสิ่งบางอย่างหรือเอาเงินก็ได้ ไปให้คนที่เเต่งกายต่างจากเรา เคร่งในกฏมากกว่าเรา เเล้วเราจะหายจากความรู้สึกผิด...นั้นไม่จริงเป็นคำโกหก ผมเคยรู้สึกผิดมากกับการกระทำของตัวเองในอดีต เคยยึดหลักปรัชญาอย่างเคล่งครัด ปิดตาเเล้วคิดไปว่าเราไม่มีจริง เเล้วจะลืมความรู้สึกผิดไปได้เเต่ในความเป็นจริงเมื่อลืมตาขึ้น เรายังอยู่ที่เดิม ความรู้สึกผิดยังอยู่เหมือนเดิม ปรัชญาของโลกเเค่บอกให้เอาผ้าขาวๆมาพันบนเเผลสดๆ เเล้วพร่ำบอกตัวเองว่า ไม่เจ็บๆๆๆๆ ไม่มีเเผลๆๆๆๆ เเต่มันช่วยอะไรไม่ได้!!!! พระเจ้าต่างหากที่รักษาเราได้อย่างเเท้จริง พระองค์เปิดเเผลออกด้วยความจริงจากพระองค์ ว่าเราเป็นคนบาปเรารอดด้วยตัวเองไม่ได้เเละพระเจ้าบริสุทธ์ ครั้งเเรกที่เปโตรพบพระเยซู เปโตรมีปฏิกิริยาอย่างไร? ในลูกาบทที่ 5:8 เมื่อเค้ารู้ความจริงว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นพระเจ้าเเละตัวเค้าเองเป็นเพียงเเค่คนบาป เปโตรก้มกราบลงพร้อมบอกว่า " พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จไปให้ห่างจากข้าพระองค์เถิด เพราะว่าข้าพระองค์เป็นคนบาป " นี้เป็นปฏิกิริยาที่ความจริงถูกเปิดเผย พระเจ้าบริสุทธ์ มนุษย์เป็นคนบาป เปโตรกลัว ไม่กล้าให้พระเยซูเข้าใกล้ เหมือนเเมลงสาปเจอกับเเสงสว่าง....เเต่นั้นเพียงเเค่ความจริงอย่างเดียว ซึ่งขอบคุณพระเจ้าที่ พระเจ้าของเราไม่มีเเค่ความจริงด้านเดียวเเต่พระองค์มีพระคุณด้วย ในยอห์น 1:17 " พระคุณเเละความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ " พระเยซูมีพระคุณที่มาพร้อมกับความจริง ถ้ามีเพียงความจริงเราคงเป็นเหมือนเปโตร ขอให้พระองค์ออกห่างจากเราเเต่เมื่อเราได้สัมผัสถึงพระคุณของพระเจ้า เราจะไม่ลืม เหมือนเปโตรหลังจาก 3 ปีผ่านไปในยอห์น 21 เปโตรออกไปหาปลา เเละพระเยซูก็ฟื้นขึ้นจากความตายมาปรากฏต่อหน้าเค้าอีกครั้ง ครั้งนี้เปโตรไม่ได้บอกว่า ขอให้ถอยห่างไปเเต่เป็นฝ่ายเปโตรเองที่รีบกระโจนลงน้ำไปหาพระเยซู ความจริงเปิดเผยเพื่อที่เราจะได้กลับใจ ยอมรับการรักษาด้วยพระคุณเเละความรักจากพระเจ้า!!!!

ท่านเป็นเกลือของโลก นี้คือสิ่งที่พระเยซูบอกกับเราที่เป็นผู้เชื่อ ผู้เชื่อที่ได้รับการรักษาจากพระองค์ เเละตอนนี้ก็เป็นผู้ร่วมงานของพระเจ้าในการรักษาคนที่หลงผิด เราสามารถใส่เกลือลงในอาหาร เเต่เราไม่สามารถใส่เกลือลงในเกลือให้กลับมาเค็มได้อีก ถ้ามันหมดรสเค็มเเล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไร พระเยซูสอนให้เราดำเนินชีวิตเป็นเหมือนกับเกลือที่รักษาความเค็มของมันไว้ตลอดเวลา

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความกระวนกระวาย

มัทธิว 6:31 " เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม "

ในมัทธิวบทที่ 6 นี้พระเยซูสอนให้เราละความกระวนกระวายไว้ที่พระองค์ นั้นก็ เพราะความกระวนกระวายนั้นจะพรากเอาความเชื่อไป หมายถึงความกระวนกระวายเปรียบได้เท่ากับความไม่เชื่อฟังพระเจ้า ถ้าเรากังวลกับปัจจัยในการดำรงชีวิตในเเต่ละวันนั้นก็เท่ากับว่า เราคิดว่าพระเจ้าไม่สามารถดูเเลเราในเรื่องเล็กๆน้อยๆได้ พระเยซูบอกให้เราเข้ามาหาพระองค์เหมือนกับเด็กเล็กๆ เด็กน้อยมีพ่อเเม่คอยจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้ทั้งอาหาร เสื้อผ้า รายละเอียดต่างๆ เพราะพ่อเเม่นั้นก็รักลูกจึงต้องให้สิ่งที่ดีๆกับลูกๆ เด็กน้อยไม่กังวลเลย ในเรื่องอาหารหรือรายละเอียดต่างๆ เพราะเค้ารู้ว่ามีคนคอยดูเเลให้เค้า เป็นความเชื่อ ความไว้วางใจในคนที่เค้าเคารพรัก เช่นเดียวกันพระเจ้าก็ต้องการให้เราไว้วางใจในพระองค์ในเเบบนั้น

ความกังวลสามารถที่จะนำเอาสิ่งที่เราได้ยินจากพระเจ้าไปจากเราได้ ใน มัทธิวบทที่ 13:22 "ความกังวลตามธรรมดาของโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะเสีย จึงไม่เกิดผล" เราได้ยินได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า เเต่พระวจนะไม่ได้ตกลงในใจ เพราะภายในจิตใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ จิตใจไม่สงบจนไม่มีที่ว่างให้กับพระวจนะของพระเจ้า เราได้ยินได้ฟัง เเต่เราไม่นำความเชื่อเข้าไปผสมกับสิ่งที่ได้ยิน ตรงกันข้ามกับกังวลในเรื่องอะไรก็ตามที่เข้ามาในชีวิต จะเห็นได้ว่าความกระวนกระวายนั้นส่งผลร้ายเเรงมากๆในชีวิตของผู้เชื่อ

ในสมัยที่ชนชาติอิสราเอลเดินข้ามทะเลเเดง พวกเค้าได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้าด้วยการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ น้ำทะเลเเหวกออกจนคนจำนวนมากเดินผ่านไปได้ สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เเละจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต การช่วยกู้ของชนชาติของพระเจ้า เเต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเค้าสามารถที่จะข้ามมาอีกฝั่งได้เเล้ว ในเวลาที่พวกเค้าหิว กระหาย เกิดอะไรขึ้น? ชนชาติอิสราเอลบ่นต่อว่าพระเจ้าทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พระเจ้าได้ช่วยกู้เค้าด้วยการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่เเต่ความหิวนั้นมาบดบังการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำให้กับเค้าไป เราจดจ่ออยู่ที่ความต้องการของตัวเราเองจนไม่ได้มองไปที่พระเจ้า ความวิตกกังวลเข้าครอบงำจิตใจจนไม่สามารถที่จะจดจ่อไปที่พระวจนะของพระเจ้าได้ ถ้าเราไม่สามารถที่จะจดจ่อมองไปทีพระเจ้าได้ เราก็ไม่สามารถที่จะมีสันติสุขภายในจิตใจได้เลย เปาโลบอกไว้ใน ฟิลิปปีบทที่ 4:6-7 "อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย เเต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ เเล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจเเละความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์" ถ้าเรามีความวิตกกังวลไม่ว่าในเรื่องใดก็ตาม เปาโลบอกว่า ให้เราอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ พระองค์จะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเราเสมอ เเละเมื่อ อธิษฐานฝากเรื่องที่เรากังวลไว้กับพระเจ้า เราก็จะพบกับความสงบภายในจิตใจ เป็นสันติสุขที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากความไว้วางใจในพระเจ้า พระองค์จะทรงคุ้มครองจิตใจของเราให้สงบลง


ไม่มีอะไรที่พระเจ้าทำไม่ได้ บางครั้งเราอาจจะคิดไปว่าเรื่องที่เรากังวลอยู่ไม่มีใครช่วยได้ เเต่อย่าให้เราจำกัดความสามารถของพระเจ้าด้วยความคิดที่ต่ำต้อยของตัวเราเอง พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าความคิดของเรา ให้เราเเสวงหาพระองค์ก่อน ให้พระองค์มาเป็นที่หนึ่งภายในใจ ให้พระวจนะของพระเจ้ามีที่ว่างที่จะตกลงไปเเละเกิดผลในใจ ส่วนปัจจัยหรือความต้องการของเรา ให้เราเชื่อว่าพระเจ้าสามารถดูเเลสิ่งเหล่านี้ได้ ใน 1 เปโตรบทที่ 5: 7 " จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย " พระเจ้าทรงห่วงใยเรา พระเจ้าทรงห่วงใยเรา พระเจ้าทรงห่วงใยเรา..... ความคิดนี้ปลอบประโลมจิตใจที่วิตกกังวลได้มาก เหมือนตอนที่เปโตรอยู่ในเรือที่เจอคลื่นลมจนจวนจะพลิกคว่ำ เปโตรบอกพระเยซูว่า ไฉนพระองค์ไม่ห่วงเราเลย ตอนนั้นพระเยซูหลับอยู่ท้ายเรือ เเต่เมื่อพระองค์ตื่น พระองค์ก็สั่งให้คลื่นลมนั้นสงบลงได้ ความกลัววิตกกังวลเป็นเหมือนคลื่นลมที่พัดอย่างบ้าคลั่งภายในจิตใจ มันไม่สงบเพราะเราไม่ได้มองที่พระเยซูที่อยู่กับเราเเต่ไปมองที่อื่น เราไปมองที่คลื่น จดจ่ออยู่ที่ปัญหา ความสงบ สันติสุขภายในใจจึงไม่เกิดขึ้น จนกว่าเราจะรู้ว่าพระองค์ห่วงใยเรา เเละละความกังวลที่เราเเบกรับไปไว้ที่พระองค์ เเล้วเราจะพบกับสันติสุขภายในใจ

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เหรียญที่หายไป

ลูกา 15 : 8-10 หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญเเละเหรียญหนึ่งหายไป จะไม่จุดตะเกียง กวาดเรือนค้นหาให้ละเอียดจนกว่าจะหาพบหรือ


ในลูกาบทที่ 15 พระเยซูยกคำอุปมาขึ้นมาสอน ถึง 3คำอุปมา ทั้งหมดล้วนพูดถึงสิ่งที่หลงหายไป ไม่ว่าจะเป็นเเกะที่หลงหาย เหรียญเงินที่หายหรือเเม้เเต่บุตรน้อยที่หลงหาย ทั้ง 3 คำอุปมาเปรียบเทียบถึงมนุษย์ที่หลงหายไปจากการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เเละเป็นพระเจ้าที่ตามหามนุษย์กลับมา ในลูกาบทที่ 19 : 10 "เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะเที่ยวหาเเละช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด" ที่น่าสนใจในคำอุปมาทั้ง 3 อย่างนั้น เราจะเห็นได้ว่า สิ่งที่หายไปล้วนเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ เมื่อเจ้าของเเกะ หญิงเจ้าของเหรียญเงินหรือพ่อของบุตรน้อย ได้รับสิ่งที่หายไปกลับมา ความชื่นชมยินดีก็เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก สำหรับพระเจ้ามนุษย์มีค่ามาก เเม้เพียงจิตวิญญาณที่หลงหายเพียงดวงเดียวก็มีค่ามากๆสำหรับพระองค์ เพราะพระคริสต์ตายเพื่อมนุษย์ที่หลงหายนั้นเอง เราจะเห็นถึงการให้คุณค่าเเละความสำคัญของพระเจ้าผ่านทางคำอุปมาเหล่านี้

ในคำอุปมาที่สองหญิงนั้นมีเหรียญเงินอยู่ถึงสิบเหรียญ ทั้งหมดมีค่ามากสำหรับเธอ เเต่ต่อมาเหรียญเงินที่มีค่ามากสำหรับเธอได้หายไป จาก 10 เหรียญเหลือเพียงเเค่ 9 เหรียญ เธอไม่ได้บอกว่า ฉันยังเหลือตั้ง 9 เหรียญเเนะ ที่หายไปก็ช่างเถอะ!!! เเต่สำหรับหญิงคนนี้เหรียญเพียงเหรียญเดียวก็มีค่ามาก เช่นเดียวกัน มนุษย์ที่หลงหายเพียงคนเดียวก็สำคัญมากสำหรับพระเจ้า เธอรู้ว่าตอนนี้เหรียญหายไป ปฏิกิริยาที่เธอทำนั้นคือ ตามหาเหรียญนั้นกลับมา เธอไม่เพิกเฉย หยุดนิ่งหรือรอ ข้อพระคัมภีร์บอกว่า เธอจุดตะเกียงกวาดเรือนค้นหาอย่างละเอียด หญิงคนนี้ให้คุณค่ากับเหรียญที่หายไปมากเเต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ห่วงใยเหรียญที่เหลืออีก 9 เหรียญ พระเจ้าทรงให้คุณค่ากับดวงวิญญาณที่หลงหายไปเเม้เพียงเเค่ดวงเดียวโดยดูได้จากการที่พระเยซู บุตรของพระเจ้าต้องตายบนกางเขนเพื่อดวงวิญญาณที่หลงหายนั้น ความรักของพระเจ้ามีให้กับคนทั้งโลก เหมือนกับฝนที่ตกลงมาจากฟ้า ฝนไม่ได้เลือกตกลงบนบ้านของคริสเตียนเท่านั้นเเต่มันตกลงมาครอบคลุมไปทั่ว เช่นเดียวกับพระคุณเเละความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ พระองค์ทรงรักมนุษย์เพราะพระองค์เป็นความรัก ไม่ใช่เพราะเราทำสิ่งใดดีเพื่อให้พระองค์รัก เเต่พระองค์รักเราก่อนที่เราจะรู้จักพระองค์ เหรียญทั้ง 10 เหรียญมีค่ามากสำหรับเจ้าของ ไม่ใช่เพียงเเค่เหรียญเดียวเเต่ทั้งหมดมีค่ามาก ฉะนั้นเมื่อมันหายไป เจ้าของจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อนำกลับมาให้ได้


หญิงสาวเจ้าของเหรียญจุดตะเกียง เพื่อส่องหาเหรียญที่หายไปเเสดงว่าในห้องที่เหรียญหล่นหายไปนั้นตกอยู่ในความมืด บางที่มันอาจกลิ้งตกไปในมุมมืดที่มองไม่เห็น มุมที่ไม่มีคนสนใจ เหรียญที่หายไปอยู่ในทีมืดเช่นเดียวกับคนบาปที่หลงหาย ข้อพระคัมภีร์ใน ยอห์น 3:19-20 มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง เเละไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏขึ้น...คนบาปเหมือนเหรียญที่อยู่ในมุมมืด มนุษย์ตกอยู่ในความมืดเนื่องมาจากความบาปของพวกเค้าเอง พระเยซูตรัสไว้ใน ยอห์น 8:12 เราเป็นความสว่างของโลกผู้ที่เดินตามเรามาจะไม่เดินในความมืด เเต่จะมีความสว่างเเห่งชีวิต... เเสงจากตะเกียงของหญิงสาวส่องไปทั่วห้องที่มืดมิอเพื่อควานหาเหรียญที่หลงหาย พระเยซูความสว่างที่เเท้จริงที่ลงมายังโลกก็สาดส่องไปทั่วเพื่อตามหาดวงวิญญาณที่หลงหายเช่นเดียวกัน

พระเจ้าทรงรักมนุษย์เเละทรงจัดเตรียมหนทางให้เรานั้นกลับมาหาพระองค์ เเม้ว่าก่อนนั้นเราจะเป็นคนบาปขนาดไหนเเต่เมื่อเราสารภาพบาปกลับใจ พระองค์ก็ทรงสัตย์ซื่อที่จะทรงให้อภัยและชำระเราให้พ้นจากการอธรรม 1 ยอห์น 1:9 หญิงสาวเจ้าของเหรียญทั้งส่องตะเกียงกวาดบ้าน ค้นหาจนพบ เเต่เมื่อพบเหรียญเเล้วสำหรับเธอ เหรียญยังคงเป็นเหรียญเดิมก่อนที่จะหายไป นั้นคือการให้ความสำคัญเเละให้คุณค่าของพระเจ้า เเม้ว่ามนุษย์จะทำความบาปผิดมากแค่ไหน จะเปื้อนฝุ่นดินของโลกเหมือนเหรียญที่หายไปเปื้อนฝุ่นในห้องมืดมากเเค่ไหนก็ตาม เเต่เมื่อเรากลับมาหาพระเจ้า เราก็เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพระองค์เหมือนเดิม ไม่สำคัญว่าทำความบาปผิดมากเเค่ไหน ถ้าเรากลับใจสารภาพความผิด พระองค์จะให้อภัยเเละจดจำเเต่ความเชื่อที่เรามีต่อพระองค์เท่านั้น


สุดท้ายเมื่อสิ่งที่หายไปกลับมาอยู่ที่เดิม ความชื่นชมยินดีก็เกิดขึ้น เเน่นอนเราทุกคนบางครั้งอาจจะเคยทำบางสิ่งที่รักหายไป เมื่อเราได้คืนมาอีกครั้ง เราย่อมดีใจเเต่ถ้าคนบาปกลับใจความปิติยินดีในสวรรค์จะมากกว่านี้หลายร้อยเท่า พระเจ้าไม่เคยลืมเราเลย เส้นผมเราทุกเส้นพระองค์ก็นับไว้ เราอาจลืมบางสิ่งเวลาที่เราทำหายเเต่หญิงสาวเจ้าของเหรียญ เธอไม่เคยลืมเหรียญที่หายไปเลย พระเจ้าก็เช่นกัน เเม้ทุกวันนี้พระองค์ก็ทรงตามหาดวงวิญญาณที่หลงหายบนโลกนี้ กลับมาหาพระองค์ คนงานของพระเจ้าต้องกวาดพื้นครั้งเเล้วครั้งเล่า กวาดฝุ่นผงของโลกนี้ เพื่อตามหาเหรียญที่หายไปกลับมา อาจใช้เวลานานบางครั้งเเต่เมื่อพบเเล้ว มันมีค่าเเละสำคัญมากสำหรับพระเจ้า เราเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพระเจ้า ถึงเเม้เราหลงหาย พระเจ้าก็ตามหา เคยอยู่ในที่มืดตอนนี้เรามองเห็นเเล้ว ขอบคุณพระเจ้า

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระวิหารของพระเจ้า ตอนที่ 2

ตอนที่ 2...

เมื่อโมเสสสร้างพลับพลาเสร็จแล้ว ซึ่งรายละเอียดเยอะมากๆ พวกเขา ชนชาติอิสราเอลจะทำพิธีถวายพลับพลาที่ประทับ และพลับพลารวมไปถึงข้าวของทุกชิ้นในพลับพลาจะต้องถูกประพรมด้วยเลือดของลูกแกะ เคยได้ยินคำนี้มั้ยครับ แพะรับบาป หมายถึงคนที่ไม่มีความผิดอะไรเลยแต่ต้องมารับโทษแทนอีกคน คนที่ไม่มีบาปต้องมารับบาปแทน แกะถูกฆ่าเพื่อนำเลือดมาประพรมทั่วทั้งพลับพลา ทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำไมพระเจ้าต้องให้อิสราเอลฆ่าแกะและนำเลือดมาใช้ด้วย....ประเด็นมันอยู่ที่นี่ ใน ฮิบรูบทที่ 9:22 บอกว่า " ความจริงนั้นตามพระบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะบริสุทธ์เพราะโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย " อีกข้อหนึ่งอยู่ใน เลวีนิติบทที่ 17:11 " เพราะว่าชีวิตอยู่ในเลือดและเลือดเป็นสิ่งที่ลบบาป "

สรุปก็คือ พลับพลาที่ประทับของพระเจ้าที่พระองค์ให้โมเสสสร้างเมื่อเกือบสามพันปีก่อน จะเป็นที่ประทับหรือพระวิหารของพระองค์ได้นั้น มันจะต้องถูกชำระด้วยโลหิต เลือดก่อน แกะจะต้องตาย จำเป็นที่แกะที่ไม่มีตำหนิจะต้องตายเพื่อนำเลือดมาชำระพลับพลา มหาปุโรหิตจะเป็นคนฆ่าแกะและเป็นคนที่นำเลือดไปประพรมพลับพลารวมไปถึงตัวเขาเองด้วย อย่าลืมว่าอาโรนมหาปุโรหิตที่เป็นเผ่าเลวีนั้นก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เขาจะต้องถูกชำระด้วยโลหิตของแกะด้วยเช่นเดียวกันเพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ บริสุทธ์ เพราะว่าตามตัวอย่างข้างต้นนั้น ถ้าคนที่รักความสะอาดมากที่อยู่ของเขาก็ต้องสะอาดด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกัน พระเจ้านั้นบริสุทธ์ พระองค์ไม่มีความบาปที่ประทับของพระองค์ก็ต้องไม่มีความบาป พระเจ้าเป็นความสว่างฉะนั้น ที่ประทับของพระเจ้าต้องไม่มีความมืดอยู่เลย พระองค์เป็นความรัก ที่ประทับของพระองค์มันจะไม่มีความทุกข์ความเสียใจ สรุปก็คือ พลับพลาที่พระเจ้าให้โมเสสสร้างขั้นนั้นก็เพื่อที่พระองค์จะได้อยู่ด้วยกันกับอิสราเอลประชากรของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักอิสราเอล และการที่พระเจ้าจะอยู่ในพลับพลาที่มือมนุษย์สร้างขึ้นนั้น มันต้องมีการจ่ายราคาหรือค่าตอบแทน การที่จะทำให้พลับพลาบริสุทธ์ ลูกแกะจะต้องตายเพื่อที่จะนำเลือดมาชำระพลับพลาให้บริสุทธ์

โครงสร้างของพลับพลานั้นทำด้วยไม้ ถูกคลุมด้วยหนังสัตว์ แบ่งเป็นสองห้องกั้นด้วยผ้าม่าน ห้องชั้นในอนุญาตให้เข้าได้เพียงแค่มหาปุโรหิต ห้องชั้นในนั้นเอง ที่เป็นที่ประทับของพระเจ้า พระองค์จะสถิตอยู่ที่พระที่นั่งเมตตาเหนือหีบพันธสัญญา ที่ตรงนั้นมหาปุโรหิตจะต้องเข้าไปเพื่อนำเลือดลูกแกะที่ไม่มีตำหนิไปประพรมที่นั้น บนพระที่นั่งเมตตาเป็นการชำระความบาปให้กับชนชาติอิสราเอล พิธีแบบนี้จะถูกจัดขึ้นปีละครั้ง ทั้งหมดอยู่ในสมัยของพระคัมภีร์เดิม สิ่งที่พระเจ้ากำลังบอกเราผ่านทางพระคัมภีร์เดิมนั้น มันถูกเชื่อมโยงมาถึงสมัยของพระคริสต์ เรารู้ว่าพระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตของเรา พระองค์ไม่ใช่ปุโรหิตตามแบบอย่างของอาโรนที่เกิดมาตามเผ่าของเลวีแต่พระเยซูนั้นเกิดมาในเผ่าของยูดาห์ และพระองค์ก็ไม่ต้องชำระบาปด้วยเลือดของลูกแกะเหมือนอาโรน นั้นก็เพราะว่า พระเยซูไม่มีบาป และเมื่อพระองค์เป็นมหาปุโรหิตพระองค์ต้องทำหน้าที่นำเลือดของลูกแกะเข้าไปในห้องชั้นใน หรือห้องอภิสุทธิสถาน เพื่อชำระบาปแต่ที่ต่างจากอาโรนนั้นก็คือ พระองค์ไม่ได้เข้าไปในห้องอภิสุทธิสถานที่สร้างด้วยมือของมนุษย์ แต่พระองค์เข้าไปห้องอภิสุทธิสถานที่ตั้งอยู่บนสวรรค์ เพื่อที่จะนำเลือดไปประพรมที่พระที่นั่งเมตตาบนสวรรค์เป็นการชำระบาปให้กับมนุษย์ พระธรรมฮิบรูบทที่ 9:11-14 เลือดที่พระเยซูนำไปคือเลือดของใคร ?

ครั้งแรกที่ยอห์นผู้ให้บัพติสมาเห็นพระเยซูเขาพูดว่าอะไร?.....ยอห์นร้องบอกว่า ยอห์นบทที่ 1:29 " จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย "...ยอห์นเรียกพระเยซูว่า ลูกแกะของพระเจ้า ที่ถูกเตรียมไว้เพื่อชำระความบาปให้กับคนบนโลกนี้ พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิต ในขณะเดียวกันพระองค์ทรงเป็นลูกแกะ พระองค์ตายบนกางเขนทั้งที่พระองค์ไม่มีบาปไม่มีความผิด ลูกแกะที่อาโรนฆ่าในสมัยพระธรรมอพยพไม่มีความผิดอะไร ลูกแกะตายเพื่อล้างบาปให้กับชนชาติอิสราเอล เช่นเดียวกันลูกแกะของพระเจ้าตายนั้นก็เพื่อล้างบาปให้กับคนทั้งโลก ไม่สำคัญว่าคุณจะพูดภาษาอะไร เป็นชนชาติอะไร เพศไหน พระคริสต์รักคุณและตายเพื่อคุณ ที่พระองค์แตกต่างจากอาโรนอีกอย่างนั้นก็คือ มหาปุโรหิตตามแบบอย่างของอาโรนจะต้องเข้าไปในห้องอภิสุธิสถานทุกปีเพื่อชำระบาป แต่พระคริสต์เข้าไปแค่ครั้งเดียวและไม่ต้องเข้าอีก ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ เกิดอะไรขึ้นกับผ้าม่านในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม?....ผ้าม่านขาด ผ้าม่านนั้นเป็นสัญลักษณ์กั้นขวางมนุษย์คนบาปกับพระเจ้าผู้บริสุทธ์ แต่พระเยซูคริสต์พระองค์ได้ทรงทำลายกำแพงกั้นขวางนี้เรียบร้อยแล้ว ผ้าม่านฉีกขาด ไม่มีอะไรที่จะมากั้นไม่ให้เราเข้าหาพระเจ้าอีก นี้เรียกว่า พระคุณ....

พระคัมภีร์มีเพียงเล่มเดียวไม่ได้แบ่งใหม่เก่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยพระธรรมอพยพเป็นสัญลักษณ์ที่จะเกิดขั้นในสมัยพระคัมภีร์ใหม่รายละเอียดต่างกันแต่หลักการเหมือนเดิม จากโครงสร้างไม้ที่ถูกคลุมด้วยหนังสัตว์ในสมัยของโมเสส พลับพลาที่ประทับของพระเจ้าก็เปลี่ยนรูปแบบไป ยังไงละ? ทุกครั้งที่ชนชาติอิสราเอลอพยพพวกเขาจะต้องรื้อพลับพลาและแบกอุปกรณ์เดินไปด้วยกันกับเขา จนกระทั่ง กาลเวลาผ่านไปอิสราเอลเข้าไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา พวกเขาเป็นประเทศไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มคนที่อพยพ แต่มีประเทศ มีกษัตริย์ปกครอง กษัตริย์คนแรกของอิสราเอลคือ ซาอูล จากนั้นก็ดาวิด...เมื่อดาวิดเสียชีวิต กษัตริย์คนต่อไปคือซาโลมอน พระเจ้าได้ทรงทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ พระเจ้านั้นสัตย์ซื่อ พระองค์บอกไว้แล้วว่าพระองค์จะทรงอยู่ด้วย ไม่ทอดทิ้งไปไหน จากพลับพลาเต็นท์ที่สร้างด้วยไม้คลุมด้วยหนังสัตว์ กลายมาเป็นตัวอาคารที่สร้างด้วยปูน ตกแต่งประดับประดาด้วยอัญมณีที่สวยงามในสมัยของซาโลมอน เราจะเห็นได้ว่ารูปแบบโครงสร้างนั้นแตกต่างกันเพียงภายนอกแต่สิ่งที่สำคัญนั้นก็คือ หลักการเหมือนเดิมที่ต่างกันนั้นก็แค่รายละเอียด วิหารของซาโลมอนถึงแม้จะสร้างด้วยอิฐด้วยปูนแต่ภายในก็ยังคงถูกแบ่งออกเป็นสองห้อง และทั้ง2ห้องถูกกั้นด้วยม่านเหมือนในสมัยของโมเสส และที่สำคัญ ทั้งตัวอาคารและอุปกรณ์ภายในจะต้องถูกชำระด้วยเลือดของลูกแกะก่อน นั้นก็เพราะว่าพระเจ้าบอกว่า เพราะว่าเราบริสุทธ์เจ้าจึงต้องบริสุทธ์ ที่ประทับของพระเจ้าต้องบริสุทธ์ พระวิหารของพระเจ้า ต้องบริสุทธ์ ต้องถูกชำระด้วยเลือดก่อนเพราะว่ามีเพียงเลือดของลูกแกะที่ปราศจากตำหนิเท่านั้นที่สามารถที่จะชำระความบาปได้ เราถูกไถ่ออกมาจากความบาปด้วยสิ่งที่มีราคาสูงยิ่งนั้นคือเลือดของพระคริสต์ ไม่ว่าพระวิหารของพระเจ้านั้นจะมีโครงสร้างแบบไหนก็ตามแต่สิ่งที่สำคัญนั้นก็คือ พระวิหารจะต้องบริสุทธ์พระเจ้าจีงจะประทับที่แห่งนั้นได้

กาลเวลาผ่านไปจากโครงสร้างไม้ เป็นเต็นท์ ในสมัยโมเสสกลายมาเป็นโครงสร้างที่ทำด้วยอิฐด้วยปูนตกแต่งสวยงามในสมัยของซาโลมอน ผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่พระเยซูประสูติ มาถึงวันที่ยอห์นผู้ให้บัพติสมาเห็นพระองค์ครั้งแรกและร้องบอกว่านี้แหละคือ ลูกแกะของพระเจ้าที่ถูกเตรียมไว้เพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก จากวันนั้นมาถึงคืนที่พระเยซูอธิฐานในสวนเกทเสมนี พระเยซูอธิษฐานเผื่อเราที่จะมีผู้ช่วยอยู่ด้วยกันกับเราตลอดเวลา เวลาเดินต่อไปจนกระทั่งพระองค์ถูกตรึงบนกางเขน พระโลหิตหลั่งออกมา ช่วงเวลาสุดท้ายที่พระองค์สิ้นพระชนม์ ผ้าม่านที่กั่นขวางห้องชั้นนอกและห้องชั้นในในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มขาด เวลาผ่านไปอีก 3 วันพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ และใช้เวลาอยู่ร่วมกับเหล่าสาวกถึง 40วัน จนกระทั่งวันที่พระองค์จากไปพระองค์บอกว่า จงรอคอยวันที่พระบิดาจะประทานพระผู้ช่วยมาให้กับพวกเขา เวลานั้นก็เดินผ่านไปอีก นี้เป็นความจริงอย่างหนึ่งเวลาไม่เคยหยุดเดินและไม่เคยย้อนกลับ เวลาผ่านไปจนถึงวันเพ็นเทคอตส์ในกิจการบทที่3 พระวิญญาณลงมาสถิตอยู่ในตัวผู้เชื่อ...ย้อนกลับไปที่คำถามถามเปาโลบอกว่า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่าน ที่ถูกอ้างถึงในข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ คือใคร? คำตอบก็คือผู้เชื่อคนที่เชื่อว่าพระเยซูคือลูกแกะของพระเจ้าผู้ทรงตายเพื่อไถ่บาปให้กับเรา
พระเจ้าสัตย์ซื่อมีพระคุณกับเราพระองค์ได้จัดเตรียมหนทางที่เราจะได้อยู่ด้วยกันกับพระองค์ แต่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อแลกมาซึ่งสิ่งนี้นั่นก็คือ ลูกแกะที่ไม่มีความผิดจะต้องสียสละแทน...เพื่อที่จะทำให้พระวิหารนั้นบริสุทธ์และเพื่อที่พระองค์จะอยู่ด้วยกันกับเราได้ ตอนนี้ผมจะถามคำถามหนึ่งให้เราตอบคำถามในใจ ท่านรู้มั้ยว่า ท่านป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถ้าคำตอบที่อยู่ในใจเป็น รู้แล้ว อ่านต่อใน 1 โครินธ์บทที่ 6.19-20 " ท่านไม่รู้หรือว่า ร่ากายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้เเล้ว ด้วยราคาสูง เหตูฉะนั้น ท่านจงถวายเกียรติเเด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด "การที่เราจะได้อยู่กับพระเจ้าได้เป็นพระวิหารของพระเจ้านั้น พระองค์ต้องซื้อเรามาด้วยราคาที่สูงมากๆ และยิ่งถ้าเรานั้นเห็นถึงความสำคัญของตัวเองเหมือนที่พระเจ้าให้ความสำคัญกับเราก็ขอให้เรานั้นให้เกียรติแก่พระวิหารของพระเจ้าชำระให้บริสุทธ์ ถวายเกรียติ แด่พระเจ้าด้วยร่างกายของเรา

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระวิหารของพระเจ้า ตอนที่ 1

1 โครินธ์ 3:16 " ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เเละพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน "
คำถาม...

1. พระวิหารของพระเจ้าคืออะไร?
2. พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่าน ที่ถูกอ้างถึงในข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ คือใคร?
3. เปาโลบอกว่า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน แล้วพระวิญญาณอยู่ในเราได้อย่างไร ?

ย้อนกลับไปในสมัยก่อนปฐมกาล ช่วงเวลาที่ยังไม่มีเวลา ก่อนที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จะถูกสร้างขึ้นมา ก่อนที่ทุกสิ่งที่เรามองเห็นและมองไม่เห็นจะกำเนิดขึ้นมา ข้อพระคัมภีร์บอกกับเราว่า พระเจ้าทรงเป็นอยู่ นั้นก็คือพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้ ยิ่งใหญ่ พระเจ้าที่แท้จริง ทรงดำรงอยู่ก่อนที่โลกและจักรวาลจะถือกำเนิดขึ้น พระลักษณะของพระองค์นั้นก็คือ พระองค์บริสุทธ์ พระองค์ชอบธรรม เป็นความรักมีพระคุณ และพระเมตตา ข้อพระคัมภีร์ ยังอธิบาย พระลักษณะของพระเจ้าต่อไปว่า พระองค์นั้นเป็นแสงสว่าง ในพระองค์นั้นไม่มีความมืด เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถคิด จินตนาการได้ว่า ที่ประทับของพระเจ้านั้นเป็นสถานที่แบบไหน? ภรรยาของผมเป็นคนรักความสะอาดมาก เพราะฉะนั้น ที่อยู่ของภรรยาผม จึงสะอาด เพราะว่าภรรยาของผมจะอยู่ไม่ได้ ถ้าที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยขยะ หรือว่า ผมเป็นคนที่ชอบอยู่ในที่ๆเงียบ ฉะนั้นถ้าเอาผมเข้าไปอยู่ในที่ๆมีเสียงดังมากๆ เปิดเพลงดัง หนวกหู ผมอยู่ไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้น เมื่อเรามองดูที่พระลักษณะของพระเจ้าที่ผมได้บอกไว้แล้ว เช่น พระเจ้าทรงบริสุทธ์ พระเจ้าเป็นความสว่าง เราจะเห็นได้ว่าที่ประทับของพระเจ้านั้นเป็นสถานที่แบบไหน ข้อพระคัมภีร์ บอกกับเราว่า ที่ประทับของพระเจ้านั้น เราเรียกว่า สวรรค์ !!! ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามบนโลกนี้ ไปอยู่ในวัฒนธรรมอะไรก็ตามเกือบทุกวัฒนธรรม หรือพูดง่ายๆว่าเกือบทุกชาติ จะมีความคิดแบบนี้อยู่ในวัฒนธรรมนั้นๆ นั่นก็คือ ความคิดเรื่องของสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็น ภาษาหรือเชื้อชาติอะไรก็ตาม พวกเขาจะมีความคิดเรื่องของสวรรค์อยู่ มนุษย์จินตนาการภาพของสวรรค์แตกต่างกันออกไปแต่ละเชื้อชาติแต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือ สวรรค์นั้นต้องเป็นสถานที่ๆดี มีความสุข น่าอยู่ไม่มีความทุกข์ ก่อนที่เราจะรู้จักพระเจ้าเราก็ถูกสอนเรื่องของสวรรค์แล้ว ฉะนั้น เราจึงบอกได้ว่าลึกๆแล้วมนุษย์เชื่อว่ามีสวรรค์และต้องการไปสวรรค์

ในพระธรรมสดุดีบทที่84 ข้อที่10 บอกว่า " วันเดียวในพระนิเวศของพระเจ้าดีกว่าพันวันในที่อื่นๆ " มีใครบ้างที่ไม่อยากอยู่ในที่ดีๆและมีความสุขตลอด หรือสำหรับผม แค่ 1ชั่วโมงมันก็ดีกว่าช่วงเวลาที่ลำบากบนโลกนี้สัก80 ปี

กลับมาที่คำถามของเรา พระวิหารของพระเจ้าคืออะไร? เรารู้แล้วว่าที่ประทับของพระเจ้านั้นคือสวรรค์เป็นสถานที่ดีสวยงาม แต่อย่าลืมสิ่งนี้เด็ดขาด เพราะมันสำคัญมากๆ สำคัญแค่ไหน สำคัญถึงขนาดที่ว่า พระเยซูจำเป็นต้องตายบนไม้กางเขน นั้นก็คือ พระเจ้าบริสุทธ์ไม่มีความบาป ที่ประทับของพระเจ้าจึง ต้องบริสุทธ์เช่นเดียวกัน เหมือนกับคนที่รักความสะอาดที่อยู่ของเขาต้องสะอาดด้วยเช่นกัน พระวิหารของพระเจ้าคือที่พระประทับของพระองค์ พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ พระองค์ไม่ได้ตัวเล็กไปกว่าเราพระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา พระองค์ไม่ได้ไปอยู่บ้านหลังเล็กๆ เหมือนที่เราเห็นได้ในประเทศไทย นึกออกมั้ยครับ ผมยังเคยคิดเลยว่า โห ถ้าพระของเขาอยู่ในบ้านหลังเล็กๆนี้ ที่มือมนุษย์สร้างขึ้น แล้วพระที่อยู่ได้คงตัวเล็กมากเลยนะ จึงเขาไปอยู่ได้ แล้วถ้าตัวเล็กขนาดนั้น เขาจะช่วยผมได้มั้ย?....พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ไม่ได้อยู่ในหินหรือไม้

พระเจ้ายิ่งใหญ่มาก ในอิสยาร์ 66:1 บอกว่า " สวรรค์เป็นบัลลังค์ของเราและแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา นิเวศซึ่งเจ้าจะสร้างให้เรานั้นอยู่ที่ไหนเล่า " ...แผ่นดินโลกเป็นเพียงแค่ที่วางเท้า...แต่เปาโลบอกว่า ท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ........คำถามคือเป็นไปได้อย่างไร?

ในสมัยช่วงเริ่มแรกพระเจ้าทรงดำรงอยู่ด้วยกันกับมนุษย์ในสวนเอเดนแต่เมื่อมนุษย์มีบาป พระเจ้าก็ไม่อยู่กับพวกเขา แต่ด้วยความรักที่พระองค์มีต่อมนุษย์ พระองค์จึงบอกว่าพระองค์จะนำมนุษย์กลับมาหาพระองค์อีกครั้ง....
พระวิหารของพระเจ้าในสมัยของโมเสส ชนชาติอิสราเอล นั้นยังตกเป็นทาสของอียิปต์ ต้องทำงานหนัก คอยรับใช้คนอียิปต์เป็นเหมือนชนชั้นสอง แต่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลพวกเขามีคำบอกเล่าที่เล่าต่อๆกันมาว่า สักวันหนึ่งพระเจ้าของอับราฮัมจะพาเราไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา...เวลาผ่านไป พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ สิ่งที่ทรงสัญญาไว้พระองค์จะทำให้สำเร็จ พระองค์ทรงช่วยชนชาติอิสราเอลให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสที่อียิปต์และนำทางมาสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา พระองค์ตรัสว่า เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะไปด้วยกันกับเจ้า พระเจ้าทรงนำหน้าชนชาติอิสราเอลด้วยเสาเมฆในตอนกลางวันและเสาเพลิงในตอนกลางคืน พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะอยู่ด้วยกันกับอิสราเอล แต่พระองค์จะทำได้ยังไง พระเจ้าตรัสกับโมเสสผู้นำของอิสราเอลให้สร้างพลับพลาขึ้นมา ให้เรานึกภาพคนจำนวนเป็นแสนๆเดินทางไปด้วยกัน แล้วเวลาที่พวกเขาจะพักพวกเขาต้องนอนในเต็นท์...พลับพลาหรือที่เรียกว่าเต็นท์นัดพบ ถูกสร้างขึ้นมาตามคำสั่งของพระเจ้า หรือเรียกอีกอย่างว่าพระเจ้าป็นผู้ออกแบบไม่ใช่โมเสส เป็นพระเจ้าตรัสให้โมเสสไปเลือกคนมาทำ โครงสร้างเป็นไม้อย่างดี ถูกคลุมด้วยหนังสัตว์ ข้างในถูกแบ่งเป็นสองห้อง กั้นด้วยผ้าม่าน ห้องแรกเรียกว่าวิสุทธิสถาน ส่วนห้องข้างในเรี่ยกว่า อภิสุทธิสถาน ห้องข้างนอกนั้นจะเป็นที่เก็บโต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์ ขันประทีปทองคำ ส่วนห้องข้างในนั้น เป็นห้องที่สำคัญที่สุด เพราะว่ามีเพียงมหาปุโรหิตเท่านั้นที่สามารถที่จะเข้าไปได้ และเข้าไปได้เพียงปีละครั้งในวันที่เรียกว่าวันลบบาป ห้องข้างในมีอะไรอยู่และทำไมจึงสำคัญมากๆถึงขนาดที่ว่าใครก็ตามที่แอบเข้าไปที่ไม่ใช่มหาปุโรหิตจะต้องตาย....ใครจำบัญญัติ10ประการได้บ้าง ในห้องชั้นในหรือที่เรียกว่าอภิสุทธิสถานนั้น เป็นที่ไว้สำหรับเก็บ หีบพันธสัญญา ซึ่งภายในบรรจุ ศิลาจารึกที่เขียนบัญญัติ 10ประการไว้ และที่บนหีบหรือฝาที่ครอบหีบถูกนั่งด้วยเครูบ2ตัวหันหน้าเข้าหากัน ระหว่างกลางเครูบทั้ง 2ตัวนั้นก็คือ พระที่นั่งเมตตา หรือ mercy seat ....

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประตูเเคบ




มัทธิว 7 : 13-14 จงเข้าไปทางประตูเเคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพระว่าซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็เเคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย

เริ่มเเรกพระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้มีใจเลือกอย่างอิสระ พระองค์ให้มนุษย์ตัดสินใจเลือกด้วยตัวของเค้าเองว่าจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่เชื่อฟัง เเต่ทุกๆการตัดสินใจไม่ว่าดีหรือร้ายย่อมนำผลกระทบมาสู่คนที่เลือกเสมอ ในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 28 - 30 พูดถึง ผลดีของการเชื่อฟังและผลสนองของการไม่เชื่อฟัง พระเจ้าทรงตรัสกับชนชาติอิสราเอลไว้อย่างชัดเจน ถึงปลายทางของการตัดสินใจเลือกทั้ง 2 รูปแบบ เเน่นอนพระองค์รักมนุษย์และมีพระประสงค์ที่จะช่วยเราให้รอดเเละประทานสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้เรา เเต่พระองค์จะไม่บังคับเราให้เลือก เราเองต่างหากที่ตัดสินใจต้องเลือกว่าจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟัง ในโยชูวา 24 : 14-15 หลังจากยึดดินเเดนพันธสัญญาได้ทั้งหมด โยชูวาก็ลุกขึ้นยืนพูดต่อคนอิสราเอลทั้งหมด เค้าถามว่า พวกท่านจงเลือกเสียว่าวันนี้ท่านจะปรนนิบัติผู้ใด จะปรนนิบัติพระของบรรพบุรุษ ที่เป็นรูปเคารพ หรือจะเลือกเหมือนเค้าเเละครอบครัวที่จะปรนนิบัติพระเจ้า.... มี 2 ทางเลือก ที่อยู่ต่อหน้าคนอิสราเอล พวกเค้าต้องเลือกเเละเเน่นอนพระเจ้าก็บอกถึงปลายทางของทั้ง 2 ทางไว้แล้วเช่นกัน....

ในมัทธิวบทที่ 7 ข้อที่13-14 พูดถึงเรื่องทางเลือก 2 ทาง....
1. ประตูเเคบ จะมีเส้นทางที่คับเเคบด้วย ปลายทางนั้นมีชีวิต เเต่คนที่พบมีจำนวนน้อยมาก
2. ประตูที่กว้าง จะมีเส้นทางเดินที่กว้าง เเต่ปลายทางคือความพินาศ เเละคนที่เดินในทางนั้นมีจำนวนมาก

ก่อนหน้าที่จะรู้จักพระเยซูคริสต์ เราเดินอยู่ในโลกเหมือนคนที่ตาบอด เราไม่รู้ว่าเราจะไปไหน จุดสุดท้ายของชีวิตคืออะไร ศาสนาก็พยายามบอกกับเราว่าทำดีเยอะๆ เพื่อว่าชาติหน้าจะได้ดีด้วย จนกระทั่งพระเยซูเสด็จมา พระองค์ตรัสว่า พระองค์เป็นทางนั้น เป็นความจริงเเละเป็นชีวิต ยอห์น 14 : 6 นั้นเองเราถึงได้รู้ถึงความจริงของโลกนี้ เเละถึงเวลาที่เราต้องเลือก

ปลายทางของประตูที่เเคบ คือสวรรค์ เป็นหนทางที่ให้ชีวิตนิรันดร พระคริสต์ทรงเปิดเส้นทางนี้ให้กับเราได้เลือกโดยผ่านทางไม้กางเขน พระเจ้าต้องการให้เราได้รู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ในทางที่เเคบเราจะได้เรียนรู้ถึงความรักพระคุณความเมตตา ความชอบธรรม พระลักษณะเเละธรรมชาติของพระองค์ เราจะเดินไปด้วยกันกับพระองค์ในทางที่เเคบ เส้นทางนี้ถึงเเม้จะเดินลำบากเเละ มีคนที่ไม่สนใจ เเต่ดาวิดบอกว่า เเม้ว่าข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ ทางที่เเคบ มีพระเจ้าอยู่ด้วย เเม้ว่าบางครั้งการตัดสินใจที่จะเลือกเส้นทางนี้ จะยากลำบากเนื่องมาจากการลงทุนของโลกในชีวิตเรา เเต่พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้ง พระองค์บอกไว้กับเราเเล้ว ถึงปลายทางที่เราต้องเลือกเดิน พระเจ้าทรงอยู่ด้วยกับเราเสมอในเส้นทางนี้ ขอให้ดูที่จุดหมายปลายทางนั้น เเล้วเราจะพบว่าไม่ยากเลยที่จะตัดสินใจเลือก

1 ยอห์น 2:15-17 สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลกจะล่วงไป เเต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยพระเจ้าจะดำรงอยูเป็นนิตย์ ....ประตูที่กว้าง นึกภาพไปถึงประตูชัยของฝรั่งเศส มันคงสวยงามเเละใหญ่มาก คนรอไปดูไปชมกันมากที่หน้าประตู เเละในนั้นยังมีทางเดินที่เเสนจะกว้าง คนก็เดินกันเยอะมาก เเต่สิ่งที่หน้ากลัวที่สุดก็คือ พวกเค้าไม่รู้ว่าปลายทางที่เดินอยู่นั้น คือความพินาศที่เป็นนิรันดร คนจำนวนมากเลือกทางเดินนี้เพราะเค้ารักโลกเเละสิ่งที่อยู่ในโลก เค้าถูกหลอกด้วยคำสอนผิดๆ เหมือนคนที่ตาบอดที่คิดในใจตนเองว่าเดินมาถูกทาง เพราะได้ยินเสียงคนเดินข้างๆจำนวนมากโดยไม่คิดเลยว่าคนข้างๆก็ตาบอกเหมือนกัน ความพินาศ ความตายที่เป็นนิรันดรเนื่องจากผลของความบาปที่สืบเนื่องมาจากการตัดสินใจไม่เชื่อฟังของอดัมเเละเอวา พระเจ้าบอกคนทั้ง 2 เเล้วถึงผลของการตัดสินใจเลือก ที่จะเชื่อฟังไม่กินผลต้องห้ามเเละสิ่งที่ตามมาภายหลังการไม่เชื่อฟัง...เเละเราก็รู้เเล้วถึงผลของมัน เเต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หนุนใจเเละเต็มไปด้วยความหวัง เหมือนกับน้ำที่ไหลรดลงในต้นไม้ที่กำลังจะตาย นั้นคือการที่เรารู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา

พระเยซู ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้กับเรา เพื่อเปิดทางไปสู่สวรรค์ให้กับคนบาป เหมือนกับก่อนหน้านี้มีเพียงประตูเเค่ บานเดียวเเละมนุษย์ทุกคนก็เดินในทางนั้น ไปสู่ความตายนิรันดรทุกคน เเต่ภายหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับเรา มันเเคบ ทางเดินก็เเคบ เเต่ปลายทางคือชีวิต เเต่มีคนจำนวนน้อยที่พบเเละเลือกเดินในทางนี้ เป้าหมายของพระเยซูคือแบกกางเขนไปที่กอลโกทา เพื่อไปตายเเทนคนบาปทั้งโลก ทั้ง 2 ข้างทางมีคนจำนวนมากเยาะเย้ยถากถาง เขวี้ยงก้อนหิน ถ่มน้ำลาย เเต่มีกี่คนที่เลือกเดินไปทางเดียวกับพระเยซู เเบกกางเขนไปกับพระองค์ไปสู่ทางที่เเคบ เเต่มีชีวิต ไม่มีสิ่งใดในโลกที่สามารถเอามาเปรียบได้กับการได้รู้จักพระเจ้า เเละอยู่ในที่ประทับของพระองค์

ประตูคับเเคบที่ปิดตายเปิดเเล้วโดยพระคุณกำลังรอคนที่หลงเดินไปตามทางของโลกอยู่ ถ้าเราอยู่ระหว่างกลางเเละต้องเลือกของให้ระลึกสักนิดถึง ผลของการตัดสินใจ คิดถึงปลายทางของ 2 เส้นทางนี้ เดินไปกับพระเจ้า เข้าสู่การเป็นสาวกของพระองค์ หรือไปสู่ความพินาศที่เป็นนิรันดร เราต้องเลือก ถ้าเราไม่เลือกโลกนี้จะเลือกแทนเรา....

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระเมษโปดกของพระเจ้า




ยอห์น 1:29 จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลก....

พระเยซู คือ พระเมษโปดกของพระเจ้า เขียนให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ลูกเเกะของพระเจ้า....นี่เป็นคำพูดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ที่เป็นพยานถึงตัวของพระเยซู ตอนนั้นขณะที่ยอห์นกำลังทำบัพติศมาด้วยน้ำอยู่นั้น เขาเห็นพระเยซูเดินมาทางเขา ยอห์นจึงกล่าวว่า จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย....ยอห์นกำลังเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระเยซูนั่นเป็นเหมือนกับลูกเเกะที่ต้องถูกนำไปถวายบูชาเพื่อลบล้างความผิดบาป เหมือนในสมัยพระคัมภีร์เดิมที่มีการบัญญัติว่า จะต้องมีการถวายบูชาลูกเเกะบริสุทธ์เพื่อเป็นเครื่องบูชา ที่จะต้องนำเลือดมาลบล้างความผิดบาปให้กับชนชาติอิสราเอล เเต่นั้นเป็นเพียงเเค่ชั่วคราว เลือดของลูกเเกะลบล้างความบาปเเละขจัดความรู้สึกผิดได้เพียงเเค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะอิสราเอลต้องทำพิธีเเบบนี้ในทุกๆปี เเต่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพียงเเค่ครั้งเดียว เเต่เลือดของพระองค์สามารถลบลางความบาปได้เป็นนิรันดร

ในสมัยพระคัมภีร์เดิมลูกเเกะไม่มีความผิดอะไร เเต่ต้องมาตายเเทนคนอิสราเอล เรามีคำกล่าวว่า เเพะรับบาป ไว้เเทนคนที่ไม่มีความผิดเเต่ต้องรับผิดเเทนคนอื่น เช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์พระองค์ไม่มีความบาป ไม่มีความผิดอะไร เเต่พระองค์ต้องเป็นลูกเเกะ ที่ถูกฆ่า เป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า ที่ต้องมาเเบกรับความผิดบาปของโลก โดยพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ได้ไถ่ คนทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชนชาติ ให้ได้รับความรอด พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา นี่เป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

เราต่างหากที่ทำผิด เราต่างหากที่เป็นคนบาป เราต่างหากที่ควรรับโทษ เเต่โดยความรักเเละพระคุณที่ยิ่งใหญ๋ เรารอดก็โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ ดูเถิด ลูกเเกะของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลก.... เมื่อมองดูที่ลูกเเกะ เรารู้ว่าความบาปผิดทั้งปวงที่เราทำมานั้นได้รับการให้อภัยเเล้ว พระเยซูได้ทรงเเบกรับความผิดบาปเเทนเรา มองไปที่พระเยซู เราเห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ การช่วยกู้อันยิ่งใหญ่ที่เราไม่สามารถทำเองได้

มีคนถามว่าเลือดเเกะนั้นมีปาฏิหารย์อะไรที่ลบล้างความบาปผิดได้?....จริงๆไม่ใช่ เพราะเลือดของเเกะที่ช่วยคนอิสราเอลให้ลบความบาป เเต่เป็นความเชื่อที่อยู่ในนั้นต่างหาก หากไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการให้อภัยบาป ( ฮิบรู 9:22 )ในสมัยของโมเสส ตอนที่พระเจ้าช่วยกู้คนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสที่อียิปต์ พระองค์ตรัสว่า ให้นำเลือดของลูกเเกะหัวปีมาทาไว้ที่ประตูบ้าน เพื่อที่เมื่อถึงเวลา ฑูตสวรรค์ของพระเจ้าจะไม่ทำร้ายบุตรคนเเรกของบ้านหลังนั้น พระเจ้าตรัสว่า เมื่อพระองค์เห็นเลือด พระองค์จะผ่านเลยไป ( when I see the blood I will passover you ) คนอิสราเอลเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า พวกเค้านำเลือดของลูกเเกะมาทาตามประตูบ้าน เมื่อถึงเวลาการพิพากษาของพระเจ้า พระองค์ ไม่ได้ดูว่าบ้านหลังนี้หรือหลังนั้น เป็นบ้านของกษัตริย์ หรือบ้านของทาส บ้านของคนดีทีทำบุญถวายของเยอะหรือบ้านของนักโทษ เเต่สิ่งที่พระองค์ ทรงดูคือ พระองค์มองดูที่เลือดที่ทาอยู่ที่ประตูบ้าน มองดูคนของพระองค์ที่เชื่อในถ้อยคำของพระองค์ บ้านไหนไม่มีเลือด บุตรคนโตก็ต้องเสียชีวิต เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงมองมาที่เรา พระองค์ทรงเห็นพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่เป็นลูกเเกะของพระเจ้า ที่ตายเพื่อไถ่บาปเรา พระองค์ก็ทรงเรียกเราว่า บุตรของพระองค์ เพราะผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ประทานผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเมษโปดกของพระเจ้า จงดูเถิด ไม่ใช่เพียงเเค่ดู เเต่จงใส่ความเชื่อลงไปในนั้น เเล้วพระองค์จะเป็นพระเมษโปดก ที่เเบกรับความผิดบาปให้กับเรา เราจะได้รับการอภัยบาป เเละได้รับความรอดก็โดยความเชื่อในพระเมษโปดกของพระเจ้านี้เอง